วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2551

การเลี้ยงปลาดุกอุยในบ่อซีเมนต์อิฐบล็อก **กำลังจะลองทำดูค่ะ
















การเลี้ยงปลาดุกอุยในบ่อซีเมนต์อิฐบล็อก


-->

การเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์อิฐบล็อก1.สามารถเลี้ยงได้ในบริเวณรอบบ้านพักดูแลได้สะดวก จับบริโภคหรือขายได้ง่าย 2.เลี้ยงได้จำนวนมากใช้พื้นที่เลี้ยงน้อยระยะเวลาของการเลี้ยงสั้น รุ่นละ 60 - 90 วัน3.ปลาดุกเป็นปลาที่มีความอดทนมาก ตายยากสามารถทนต่อสภาวะน้ำเสียได้สูง 4.น้ำทิ้งจากบ่อปลาดุก มีอินทรีย์สารมากเป็นปุ๋ยน้ำใช้รดพืชผัก ต้นไม้ได้เป็นอย่างดี

การเลือกสถานที่สร้างบ่อ
ควรอยู่ใกล้บ้าน และมีที่ร่มเพียงพอ เพราะปลาดุก ไม่ชอบแสงสว่างมาก
ควรมีแหล่งน้ำที่สะดวกสำหรับการเปลี่ยนถ่ายเทน้ำ

การสร้างบ่อ
เตรียมพื้นที่ราบเรียบ พื้นดินที่ต้องอัดแน่นเพื่อสร้างบ่อซีเมนต์อิฐบล๊อคขนาดกว้าง 2 เมตร ยาว 3 เมตร สูง 0.6 เมตรโดยการเทพื้นซีเมนต์ มีโครงไม้ไผ่ช่วยยึดเกาะเนื้อปูนซีเมนต์ไม่ให้แตกร้าวง่าย และก่ออิฐบล๊อคขึ้นสูง 3 ก้อนโดยรอบ เป็นรูปทรงบ่อสี่เหลี่ยม ตามขนาดที่ได้กำหนดไว้ จะได้บ่อขนาดพื้นที่ 6 ตารางเมตร จุน้ำลึก 60 เซนติเมตร (ราคาวัสดุต่อบ่อไม่คิดค่าแรง ประมาณ 2,500 บาทได้แก่ อิฐบล๊อค 80 ก้อน, ปูน 6 ถุง, ทราย 2 คิว, หินเบอร์ 3/4 1 คิว
กางตาข่ายพรางแสง สูงขึ้นไปจากบ่อประมาณ 1-1.5 เมตร เพื่อสร้างร่มเงาให้กับบ่อปลาดุกปล่อยน้ำเข้าบ่อให้มีระดับความลึก 50 เซนติเมตร อาจใช้สารจุลินทรีย์ (อีเอ็ม) 2 ช้อนชา กับน้ำตาลทราย 2 ช้อนชา ผสมกับน้ำ 1 ปี๊บ สาดลงไปที่บ่อ เพื่อให้เกิดน้ำเขียว เป็นอาหารลูกปลา และช่วยไม่ให้น้ำขุ่นเร็ว
อัตราปล่อยปลา
ปลาดุกที่เริ่มเลี้ยงควรมีขนาดความยาว 5 - 10 ซ.ม. (ราคาตัวละประมาณ 1 บาท) อัตราการปล่อยลงเลี้ยง 60 ตัว ต่อตารางเมตร หรือ 360 ตัว ต่อบ่อซีเมนต์อิฐบล็อก ขนาดพื้นที่ 6 ตารางเมตร
แช่ถุงปลาดุกไว้ในบ่อเลี้ยง 30 นาที
แล้วจึงค่อยๆปล่อยปลาลงบ่อ เพื่อป้องกันลูกปลาช็อคตาย
ปลาดุกที่เริ่มต้นเลี้ยงควรมีขนาดขนาด 5 - 10 เซนติเมตร ซึ่งจะใช้ระยะเวลาในการเลี้ยงประมาณ 60 - 90 วัน/รุ่น
ควรมีวัสดุ เช่น อิฐบล็อก หรือยางรถยนต์ใส่ในบ่อให้ปลาดุกหลบซ่อน เพราะเลี้ยงไประยะเวลาหนึ่ง ปลาจะโตไม่เท่ากัน เนื่องจากปลาตัวใหญ่จะรบกวนตัวเล็ก




อาหารและการให้อาหาร
1. อาหารเม็ดสำเร็จรูปลอยน้ำ - ปลาดุกขนาดความยาว 5 - 7 เซนติเมตรให้อาหารปลาดุกรุ่นอายุ 1 เดือน - ปลาดุกขนาดความยาว 7 เซนติเมตรขึ้นไปให้อาหารปลาดุกรุ่นอายุ 2 เดือน การให้อาหารเม็ดสำเร็จรูปลอยน้ำ ให้วันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น ให้ครั้งละน้อยๆ แต่พออิ่ม2. อาหารผสมเองใช้กระดูก โครงไก่ ไส้ไก่ เศษเนื้อบดละเอียดหรือปลาป่น ผสมรำละเอียดในอัตรา 9 : 1 โดยน้ำหนัก ปั้นเป็นก้อนขนาดกำมือปั้นให้กินทุกวัน อาหารสดเสริม เช่น เศษปลา ปลวก แมลงขนาดเล็ก มด ไส้เดือน หอยเชอรี่ ต้มสุก เป็นต้นการให้อาหารผสมเองที่ปั้นเป็นก้อนให้อาหารในกระบะมี ขอบ ให้ขอบจากระดับผิวน้ำประมาณ 20 ซ.ม. ให้วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ให้ครั้งละน้อยๆ พออิ่ม


การถ่ายเทน้ำ
ควรถ่ายเทน้ำทุก 15 วัน หรือเวลาที่น้ำเลี้ยงปลามีกลิ่นเหม็น ควรดูดน้ำจากก้นบ่อ ออกประมาณ 1 ใน 3 ของระดับน้ำในบ่อ (ประมาณ 20 เซนติเมตร)
ขณะถ่ายน้ำ ไม่ควรรบกวนให้ปลาดุกตกใจ ถ้าปลาดุกเกิดอาการตกใจ จะหยุดกินอาหารหลายวัน
น้ำในบ่อปลาดุกที่ถ่ายทิ้งมีอินทรีย์สารมาก เป็นปุ๋ยน้ำ นำไปรดพืชผักสวนครัวได้ดี
ระยะเวลาในการเลี้ยงและผลผลิต
ปลาดุกที่เริ่มเลี้ยงขนาดความยาว 5 - 10 เซนติเมตร ปล่อยเลี้ยง 360 ตัว/บ่อ ใช้ระยะเวลาในการเลี้ยง 60 - 90 วัน
ผลผลิตจากการเลี้ยง ประมาณ 40 - 60 กิโลกรัม ต่อรุ่นต่อบ่อขนาด 6 ตารางเมตร (ขนาดปลาดุก 7 - 10 ตัว/กิโลกรัม) คิดเป็นมูลค่าปลาดุก 1,600 - 2,400 บาท ต่อรุ่น ต่อบ่อขนาด 6 ตารางเมตร (ปลาดุกกิโลกรัมละ 40 บาท)

ข้อควรระวัง
1. ไม่ให้อาหารปลาดุกในปริมาณมากจนเกินไป 2. รักษาคุณภาพน้ำให้เหมาะสมอยู่เสมอ 3. ถ่ายเทน้ำในบ่อเลี้ยงปลาบ่อย ๆ
โรคปลาดุกและการป้องกันรักษา
โรคกะโหลกร้าว แก้ไขโดยใช้วิตามินซี 1 กรัม ผสมในอาหาร 1 กิโลกรัมให้ปลาดุกกินติดต่อกันนาน 15 วัน
โรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียและบาดแผลข้างลำตัว ใช้ยาปฎิชีวนะ เช่นยาอ๊อกซี่เตทตราซัยคลิน 1 แคปซูล ผสมในอาหาร 1 กิโลกรัม ให้ปลากินติดต่อกันนาน 7 - 10 วัน
หากมีปลาตาย และมีบาดแผลตามลำตัว ให้ตักปลาตายออกแล้วนำไปทำลายโดยการเผาหรือฝังและรีบถ่ายเทน้ำในบ่อออกประมาณครึ่งบ่อ (ถ่ายน้ำออกในระดับลึก 30 เซนติเมตร)

ซื้อ EM ก็ได้ค่ะ ถ้าไม่อยากเสียเวลาทำเอง

หากคุณไม่มีเวลาทำ EM เองก็มาสารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดค่ะ ขวดละ 1000ซีซี ราคาประมาณ 80 บาท เวลาใช้ก็แค่เจือจางด้วยอ้ตราส่วน1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 1 ลิตรค่ะ ใช้รดพืช สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งก็พอค้ะ จำช่วยบำรุงพืชให้โตเร็ว กันแมลง ศัตรูพืช ด้วย ตอนนี้ฉันเองก็กำลังปลูกกระเพราะบ้านค่ะ กว่าจะหาพันธ์ได้ก็นานทีเดียว เอาไว้ทำทานเองที่บ้าน ถ้าคุณอยากจะได้พันธ์ล่ะก็ ฉันสามารถส่งให้ได้นะค่ะ ไม่คิดค่าอะไรถือว่าช่วยกันอร่อยค่ะ แต่คงต้องรอนิด เพราะตอนนี้ยังไม่มีเมล็ดแก่เลยค่ะ อ้อ สรรพคุณ ของกระเพราก็มีมากนะค่ะ

ลักษณะไม้ล้มลุก อายุหลายปี สูง 30-90 ซม. ทั้งต้นมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ลำต้นเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีขนปกคลุม ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม ขอบใบหยักฟันเลื่อยห่างๆ ปลายแหลม กะเพรามี 3 พันธุ์ คือ กะเพราแดง กะเพราขาว และกะเพราลูกผสมระหว่างกะเพราขาวและกะเพราแดง ใบกะเพราแดงสีเขียวแกมม่วงแดง ส่วนใบกะเพราขาวสีเขียวอ่อน ดอกย่อยสีชมพูแกมม่วง ดอกกะเพราแดงสีเข้มกว่ากะเพราขาว

สารสำคัญมีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งประกอบด้วยสารหลายชนิด เช่น ocimol, eugenol, methyl eugenol, linalool เป็นต้น เป็นยาขับลมแก้ปวดท้อง ท้องเสีย และคลื่นไส้อาเจียน ฤทธิ์ขับลมเกิดจากน้ำมันหอมระเหย การทดลอง ในสัตว์แสดงว่าน้ำสกัดทั้งต้นมีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ สาร Eugenol ในใบ มีฤทธิ์ขับน้ำดี ช่วยย่อยไขมัน และลดอาการจุกเสียด
ส่วนที่ใช้ ใบหรือทั้งต้น ใบสมบูรณ์เต็มที่ นิยมใช้กะเพราแดงมากกว่า กะเพราขาว
รสและสรรพคุณยาไทย รสเผ็ดร้อน เป็นยาตั้งธาตุ แก้ปวดท้อง ท้องขึ้น จุกเสียดในท้อง ใช้แต่งกลิ่น แต่งรส

วิธีใช้ เด็กอ่อนใช้ใบสด 3-4 ใบ ใส่เกลือเล็กน้อย บดให้ละเอียดผสมน้ำผึ้ง หยอดให้เด็กอ่อนเพิ่งคลอด 2- 3 หยด เป็นเวลา 2 วัน จะช่วยขับลมและถ่ายขี้เทา สำหรับผู้ใหญ่ใช้ยอดสด 1 กำมือ ต้มพอเดือด ใช้ใบกะเพราแห้ง 1 กำมือ ( 4 กรัม ) ใบสดใช้ 25 กรัม ชงกับน้ำดื่มเป็นยาขับลม หรือป่นเป็นผงครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ ชงกับน้ำหรือใช้ใบสดแกงเลียงให้สตรีหลังคลอดรับประทาน
****อ้อ ใครที่กำลังจะไปเรียนหรือ ทำงานอยู่ต่างประเทศ ก็รีบๆทานเอาไว้เยอะๆนะ เพราะที่โน่นหาทานได้ยาก เพราะ ปลูกลำบาก อากาศหนาวเย็น เค้าจึงนิยมเอาใบโหระพา(sweet Basil)มาใส่แทนใบกระเพราค่ะ แต่เราคนไทยทานยังไงก็ไม่ใช่ผัดกระเพรานะ ความหอม ความอร่อยก็ไม่เท่า